Tuesday, December 28, 2010
Tuesday, November 30, 2010
ทรงพระเจริญ
Friday, November 26, 2010
Wednesday, November 17, 2010
Thursday, September 23, 2010
วัดวังตะวันตก
ตำบลคลัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
Google Map : https://goo.gl/maps/WDDBexxuPczKCiEK6
เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๓๘๐ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ได้สร้างพระพุทธรูปสูงใหญ่ขึ้นองค์หนึ่งไว้ทางทิศใต้ของบริเวณวัด โดยสร้างไว้บนเนินดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยาน ถวายชื่อว่า "พระศรีธรรมโศกราช" เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศของผู้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช คนทั่วไปนิยมเรียกว่า "พระสูง" เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ ประชาชนได้ร่วมกันสร้างวิหารคลุมไว้
ภายในวัดวังตะวันตกมีกุฏิทรงไทยหลังหนึ่งมีลักษณะเป็นหมู่ เรือนไทยสร้างด้วยไม้ เป็นเรือนฝากระดานแบบเรือนสร้างสับ ๓ หลัง หลังคาหน้าจั่วหันไปทางทิศตะวันออกทั้งหมด ตัวเรือนเป็นกุฏิไม้ฝาประกน มีลวดลายแกะสลักไม้ ตกแต่งตามส่วนต่าง ๆ เป็นรูปบุคคลมีปีกประกอบลายพรรณพฤกษา ลายหัวบุคคลมีลำตัวเป็นก้านต้นไม้ กรอบหน้าต่างด้านล่างสลักเป็นลายเครือเถาและลายเรขาคณิต เรือนหลังกลางเป็นห้องโถงโล่ง และเรือนอีก ๒ หลัง เป็นปีกยกพื้นสูงทั้ง ๒ ข้าง มีฐานที่มีหลังคาคลุมต่อเชื่อมกัน หลังคามุงกระเบื้องไม่เคลือบ ด้านทิศตะวันตกเป็นเรือนครัว ซึ่งได้ย้ายมาประชิดกุฏิภายหลัง ใต้กุฏิยกพื้นสูงเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดีปัจจุบันมีชานเรือนทำด้วยปูนซิ เมนต์ เชื่อมหมู่กุฏิและเรือนครัวเข้าด้วยกัน
มีจารึกสลักบนไม้เหนือบนประตูหลังกลางทางด้านตะวันออก กล่าวถึงการสร้างกุฏิหลังนี้ว่า "...กุฏิสามหลังข้างครัวข้างโน้น ข้าพเจ้าอาจารย์ย่อง พร้อมด้วยญาติบรรณาแลสานุศิษย์ ได้เตรียมการจัดหาเครื่องเสาตั้งแต่ปีมเมียจัตวาศก มาได้ยกขึ้นเมื่อ ณ วัน ๒ฯ๔ ค่ำ ปีชวดสัมฤทธิศก พุทธศักราชล่วงแล้ว ๒๔๓๑ พรรษา ก็ทำต่อมาก็ทั่ง ณ วัน ๓ฯ๕ ค่ำปีมแมสัปตศก เป็นวันฉลอง ๑๓ ปีแล้วเสร็จ ก็ทำครั้งนี้เพื่อจะเปลื้องธุระสงฆ์ที่กังวนด้วยฟากฝา แลจะได้อยู่อาไสยเอาเรียนพระธรรม์บำรุงพุทธศาสนาให้จิรัง ท่านผู้อ่านผู้ฟังจงอนุโมทนารับส่วนบุญด้วยเทอญฯ..." นั่นมายถึงว่าอาคารหลังนี้เริ่มสร้างในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ ใช้เวลาสร้าง ๑๓ ปี เพื่อให้พระสงฆ์ได้อาศัยเรียนพระธรรมบำรุงพุทธศาสนา ผู้สร้างคือ พระครูกาชาด(ย่อง) ร่วมกับบรรดาญาติโยม สานุศิษย์
ความเป็นมา (๒)
จากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่สืบต่อกันมาว่า เดิมเป็นที่วัดของพระยาศรีธรรมาโศกราช เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ในสมัยสุโขทัย ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา คงจะย้ายวังจากที่ตั้งเดิมไปหรือหมดวงศ์ของพระยาศรีธรรมมาโศกราช จึงปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า โดยเป็นทรัพย์สินของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ประมาณสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ ๔ ได้มีพระภิกษุสงฆ์เดินธุดงค์มาปักกลดอาศัยพักเป็นครั้งคราว ทายาทของพระยานคร (น้อย) จึงยกถวายให้เป็นที่วัด เพื่อให้พระภิกษุมาอาศัยอยู่เป็นประจำ จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๕) พระครูกาชาด (ย่อง อินทสุวณฺโณ) ได้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส และได้ขอพระราชทาน วิสุงคามสีมา สร้างอุโบสถ ก่อด้วยอิฐ ถือปูนขาว สร้างศาลาการเปรียญ กุฏิทรงไทย และหอพระไตรปิฏก จึงเป็นวัดที่สมบูรณ์
สิ่งก่อสร้างภายในวัด ประกอบด้วย
๑. อุโบสถตามแบบ กรมการศาสนา ขนาด ๘.๕๐ X ๒๓ เมตร คอนกรีตเสริมเหล็ก
๒. ศาลาการเปรียญ ทรงไทยประยุกต์ ขนาด ๑๐ X ๒๐ เมตร คอนกรีตเสริมเหล็ก
๓. หอพระไตรปิฏก ขนาด ๑๒ X ๑๒ เมตร สร้างด้วยอิฐถือปูนขาว ๒ ชั้น
๔. หอรูปพระครูกาชาด ขนาด ๓.๗๐ X ๓.๒๐ เมตร คอนกรีตเสริมเหล็ก
๕. กุฏิเจ้าอาวาส ทรงไทยประยุกต์ ขนาด ๒๐.๕ X ๒๒.๒๕ เมตร คอนกรีตเสริมเหล็ก
๖. หอฉัน ตึกครึ่งไม้ ๒ ชั้น ทรงปั้นหยา ขนาด ๑๓.๗๕ X ๒๘ เมตร
๗. กำแพงวัด คอนกรีตเสริมเหล็ก สูง ๑.๗๐ เมตร
- ด้านทิศตะวันออกยาว ๑๐๕ เมตร
- ด้านทิศใต้ ยาว ๗๒ เมตร
๘. กุฏิทรงไทย ๑๐๐ ปี ขนาด ๙.๘๕ X ๑๔ เมตร
กุฏิทรงไทยเป็นอาคารเรือนไทยหลังงามระดับหนึ่งในภาคใต้ หรืออาจติดอันดับต้นของประเทศก็ว่าได้ ลักษณะเป็นหมู่เรือนไทยสร้างด้วยไม้ เป็นเรือฝากระดานแบบเรือนสร้างสับ ๓ หลัง หลังคาหน้าจั่วหันไปทางทิศตะวันออกทั้งหมด เรือนหลังกลางเป็นห้องโถงโล่งและเรือนอีก ๒ หลัง เป็นปีกยกพื้นสูงทั้ง ๒ ข้าง มีฐานที่มีหลังคาคลุมต่อเชื่อมกัน หลังคามุงกระเบื้องไม่เคลือบ ด้านทิศตะวันตกเป็นเรือนครัว ซึ่งได้ย้ายมาประชิดกุฏิภายหลัง ปัจจุบันมีชานเรือนทำด้วยปูนซิเมนต์เชื่อมหมู่กุฏิและเรือนครัวเข้าด้วย กัน ตัวเรือนกุฏิไม้เป็นแบบเรือฝาประกน มีลวดลายแกะสลักไม้ ตกแต่งตามส่วนต่าง ๆ เป็นรูปบุคคล มีปีกประกอบลายพรรณพฤกษา ลายหัวบุคคลมีลำตัวเป็นก้านต้นไม้ กรอบหน้าต่างด้านล่างสลักเป็นลายเครือเถาและลายเรขาคณิต ใต้กุฏิยกพื้นสูงเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี
๒๕๓๔ มีการบูรณะปฏิสังขรณ์กุฏิทรงไทยทั้งหลังเป็นเงินงบประมาณ ๑,๒๒๔,๔๗๕ บาท ในจำนวนนี้เป็นเงินงบประมาณของกรมศิลปากร ๘๐๐,๐๐๐ บาท และเงินบริจาคของจังหวัดนครศรีธรรมราช ๔๒๔,๔๗๕ บาท บริษัทศิวกรการช่างเป็นผู้ดำเนินการ
๒๕๓๖ กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานคณะกรรมาธิการ อนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรม สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ มีมติให้ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น ประจำปี ๒๕๓๖
๒๕๕๒ สำนักศิลปากรที่ ๑๔ เสนอของบประมาณสำหรับการบูรณะ งบประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ลำดับเจ้าอาวาส ครองวัดวังตะวันตก ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ รวมทั้งหลักฐานที่เป็นภาพวาดและภาพถ่ายในงานทำบุญประจำปีอดีตเจ้าอาวาส
มี ดังนี้
๑. พระครูกาชาด (ย่อง อินฺทสุวณฺโณ) *
๒. พระปลัดเจียม รตโน *
๓, พ่อท่านรอด *
๔. พระมหาสะอาด สุวรรณนพรัตน์*
๕. พระครูประโชติศาสนกิจ ถึง พ.ศ.๒๕๒๕
๖. พระเทพสิริโสภณ พ.ศ.๒๕๒๖ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๐
๗. พระครูพรหมเขตคณารักษ์ พ.ศ.๒๕๖๐
**** ปรับปรุงข้อมูลวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ ****
( * ลำดับก่อนหลังไม่มีหลักฐานยืนยัน )
++++++++++++++++++
พิกัดแผนที่
เส้น รุ้ง ๘ องศา ๒๖ ลิปดา ๑๙ ฟิลิปดาเหนือ เส้นแวง ๙๙ องศา ๕๗ ลิปดา ๕๐ ฟิลิปดาตะวันออกGoogle Map : https://goo.gl/maps/WDDBexxuPczKCiEK6
ประวัติความเป็นมา
สถานที่ ตั้งวัดวังตะวันตกแต่เดิมเป็นป่าขี้แรดใช้เป็นที่ค้างศพของคนในเมืองซึ่งนำ ออกมาทางประตูผี ซึ่งอยู่ด้านตะวันตกของตัวเมือง แล้วนำล่องเรือมาตามคลองท้ายวังเขาคลองทา แล้วเอาศพไว้ในที่ที่เป็นป่าขี้แรด ต่อมากลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเพราะประเพณีการค้างศพได้เลิกนิยมไป ที่บริเวณนี้จึงกลายเป็นบ้านตากแดด คือปล่อยทิ้งไว้ให้แดดเผา เพื่อล้างสถานที่ที่เคยค้างศพและไม่มีผู้คนกล้าเข้ามาอาศัยอยู่ ต่อมาเจ้าจอมปราง ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า แม่นางเมืองหรือแม่วัง เห็นเป็นที่ว่างและอยู่ใกล้กับวังของท่านเพียงคนละฟาก จึงเกิดความคิดที่จะดัดแปลงที่ว่างนั้นให้เป็นอุทยาน เพื่อเป็นที่พักผ่อนของเจ้าพระยานคร (น้อย) บุตรชาย ประกอบกับเจ้าพระยานคร (พัด) ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช จึงได้ดัดแปลงป่าขี้แรดให้เป็นอุทยาน ต่อมาถึงสมัยเจ้าพระยานคร (น้อย) ได้ตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ต้องรับภาระจัดการพระศพเจ้าจอมมารดาปราง ได้เลือกเอาอุทยานแห่งนี้เป็นที่ฌาปนกิจศพ และได้ปรับปรุงวังตะวันออกให้เป็นวัดวังตะวันออกพร้อม ๆ กันนี้ได้แปรสภาพอุทยานแห่งนี้ให้เป็นวัดอีกวัดหนึ่ง เรียกว่า " วัดวังตะวันตก "ภายในวัดวังตะวันตกมีกุฏิทรงไทยหลังหนึ่งมีลักษณะเป็นหมู่ เรือนไทยสร้างด้วยไม้ เป็นเรือนฝากระดานแบบเรือนสร้างสับ ๓ หลัง หลังคาหน้าจั่วหันไปทางทิศตะวันออกทั้งหมด ตัวเรือนเป็นกุฏิไม้ฝาประกน มีลวดลายแกะสลักไม้ ตกแต่งตามส่วนต่าง ๆ เป็นรูปบุคคลมีปีกประกอบลายพรรณพฤกษา ลายหัวบุคคลมีลำตัวเป็นก้านต้นไม้ กรอบหน้าต่างด้านล่างสลักเป็นลายเครือเถาและลายเรขาคณิต เรือนหลังกลางเป็นห้องโถงโล่ง และเรือนอีก ๒ หลัง เป็นปีกยกพื้นสูงทั้ง ๒ ข้าง มีฐานที่มีหลังคาคลุมต่อเชื่อมกัน หลังคามุงกระเบื้องไม่เคลือบ ด้านทิศตะวันตกเป็นเรือนครัว ซึ่งได้ย้ายมาประชิดกุฏิภายหลัง ใต้กุฏิยกพื้นสูงเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดีปัจจุบันมีชานเรือนทำด้วยปูนซิ เมนต์ เชื่อมหมู่กุฏิและเรือนครัวเข้าด้วยกัน
มีจารึกสลักบนไม้เหนือบนประตูหลังกลางทางด้านตะวันออก กล่าวถึงการสร้างกุฏิหลังนี้ว่า "...กุฏิสามหลังข้างครัวข้างโน้น ข้าพเจ้าอาจารย์ย่อง พร้อมด้วยญาติบรรณาแลสานุศิษย์ ได้เตรียมการจัดหาเครื่องเสาตั้งแต่ปีมเมียจัตวาศก มาได้ยกขึ้นเมื่อ ณ วัน ๒ฯ๔ ค่ำ ปีชวดสัมฤทธิศก พุทธศักราชล่วงแล้ว ๒๔๓๑ พรรษา ก็ทำต่อมาก็ทั่ง ณ วัน ๓ฯ๕ ค่ำปีมแมสัปตศก เป็นวันฉลอง ๑๓ ปีแล้วเสร็จ ก็ทำครั้งนี้เพื่อจะเปลื้องธุระสงฆ์ที่กังวนด้วยฟากฝา แลจะได้อยู่อาไสยเอาเรียนพระธรรม์บำรุงพุทธศาสนาให้จิรัง ท่านผู้อ่านผู้ฟังจงอนุโมทนารับส่วนบุญด้วยเทอญฯ..." นั่นมายถึงว่าอาคารหลังนี้เริ่มสร้างในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ ใช้เวลาสร้าง ๑๓ ปี เพื่อให้พระสงฆ์ได้อาศัยเรียนพระธรรมบำรุงพุทธศาสนา ผู้สร้างคือ พระครูกาชาด(ย่อง) ร่วมกับบรรดาญาติโยม สานุศิษย์
ความเป็นมา (๒)
จากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่สืบต่อกันมาว่า เดิมเป็นที่วัดของพระยาศรีธรรมาโศกราช เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ในสมัยสุโขทัย ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา คงจะย้ายวังจากที่ตั้งเดิมไปหรือหมดวงศ์ของพระยาศรีธรรมมาโศกราช จึงปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า โดยเป็นทรัพย์สินของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ประมาณสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ ๔ ได้มีพระภิกษุสงฆ์เดินธุดงค์มาปักกลดอาศัยพักเป็นครั้งคราว ทายาทของพระยานคร (น้อย) จึงยกถวายให้เป็นที่วัด เพื่อให้พระภิกษุมาอาศัยอยู่เป็นประจำ จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๕) พระครูกาชาด (ย่อง อินทสุวณฺโณ) ได้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส และได้ขอพระราชทาน วิสุงคามสีมา สร้างอุโบสถ ก่อด้วยอิฐ ถือปูนขาว สร้างศาลาการเปรียญ กุฏิทรงไทย และหอพระไตรปิฏก จึงเป็นวัดที่สมบูรณ์
วัดวัง ตะวันตก มีเนื้อที่วัดทั้งหมด ไม่รวมธรณีสงฆ์ จำนวน ๑๑ ไร่ ๒ งาน ๔๑ ตารางวา
โบราณสถานและโบราณวัตถุของวัดวังตะวันตก
ประกอบด้วยพระพุทธรูปปางสดุ้งมาร ก่อด้วยอิฐ ถือปูนขาว หน้าตักกว้าง ๑ วา เศษ สูง ๒ วาเศษ ประดิษฐานอยู่บนอาสน์ดินสูง ๒ วาเศษ ชาวบ้านเรียกว่า พระศรีธรรมาโศก หรือ "พระสูง"สิ่งก่อสร้างภายในวัด ประกอบด้วย
๑. อุโบสถตามแบบ กรมการศาสนา ขนาด ๘.๕๐ X ๒๓ เมตร คอนกรีตเสริมเหล็ก
๒. ศาลาการเปรียญ ทรงไทยประยุกต์ ขนาด ๑๐ X ๒๐ เมตร คอนกรีตเสริมเหล็ก
๓. หอพระไตรปิฏก ขนาด ๑๒ X ๑๒ เมตร สร้างด้วยอิฐถือปูนขาว ๒ ชั้น
๔. หอรูปพระครูกาชาด ขนาด ๓.๗๐ X ๓.๒๐ เมตร คอนกรีตเสริมเหล็ก
๕. กุฏิเจ้าอาวาส ทรงไทยประยุกต์ ขนาด ๒๐.๕ X ๒๒.๒๕ เมตร คอนกรีตเสริมเหล็ก
๖. หอฉัน ตึกครึ่งไม้ ๒ ชั้น ทรงปั้นหยา ขนาด ๑๓.๗๕ X ๒๘ เมตร
๗. กำแพงวัด คอนกรีตเสริมเหล็ก สูง ๑.๗๐ เมตร
- ด้านทิศตะวันออกยาว ๑๐๕ เมตร
- ด้านทิศใต้ ยาว ๗๒ เมตร
๘. กุฏิทรงไทย ๑๐๐ ปี ขนาด ๙.๘๕ X ๑๔ เมตร
กุฏิทรงไทยเป็นอาคารเรือนไทยหลังงามระดับหนึ่งในภาคใต้ หรืออาจติดอันดับต้นของประเทศก็ว่าได้ ลักษณะเป็นหมู่เรือนไทยสร้างด้วยไม้ เป็นเรือฝากระดานแบบเรือนสร้างสับ ๓ หลัง หลังคาหน้าจั่วหันไปทางทิศตะวันออกทั้งหมด เรือนหลังกลางเป็นห้องโถงโล่งและเรือนอีก ๒ หลัง เป็นปีกยกพื้นสูงทั้ง ๒ ข้าง มีฐานที่มีหลังคาคลุมต่อเชื่อมกัน หลังคามุงกระเบื้องไม่เคลือบ ด้านทิศตะวันตกเป็นเรือนครัว ซึ่งได้ย้ายมาประชิดกุฏิภายหลัง ปัจจุบันมีชานเรือนทำด้วยปูนซิเมนต์เชื่อมหมู่กุฏิและเรือนครัวเข้าด้วย กัน ตัวเรือนกุฏิไม้เป็นแบบเรือฝาประกน มีลวดลายแกะสลักไม้ ตกแต่งตามส่วนต่าง ๆ เป็นรูปบุคคล มีปีกประกอบลายพรรณพฤกษา ลายหัวบุคคลมีลำตัวเป็นก้านต้นไม้ กรอบหน้าต่างด้านล่างสลักเป็นลายเครือเถาและลายเรขาคณิต ใต้กุฏิยกพื้นสูงเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี
ประวัติการ อนุรักษ์
๒๕๓๓ คณะกรรมการดำเนินการบูรณะกุฏิทรงไทยมีมติเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๓๓ ให้ย้ายกุฏิไปตั้งไว้ทางด้านทิศเหนือของวัด ๒๕๓๔ มีการบูรณะปฏิสังขรณ์กุฏิทรงไทยทั้งหลังเป็นเงินงบประมาณ ๑,๒๒๔,๔๗๕ บาท ในจำนวนนี้เป็นเงินงบประมาณของกรมศิลปากร ๘๐๐,๐๐๐ บาท และเงินบริจาคของจังหวัดนครศรีธรรมราช ๔๒๔,๔๗๕ บาท บริษัทศิวกรการช่างเป็นผู้ดำเนินการ
๒๕๓๖ กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานคณะกรรมาธิการ อนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรม สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ มีมติให้ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น ประจำปี ๒๕๓๖
๒๕๕๒ สำนักศิลปากรที่ ๑๔ เสนอของบประมาณสำหรับการบูรณะ งบประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ลำดับเจ้าอาวาส ครองวัดวังตะวันตก ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ รวมทั้งหลักฐานที่เป็นภาพวาดและภาพถ่ายในงานทำบุญประจำปีอดีตเจ้าอาวาส
มี ดังนี้
๑. พระครูกาชาด (ย่อง อินฺทสุวณฺโณ) *
๒. พระปลัดเจียม รตโน *
๓, พ่อท่านรอด *
๔. พระมหาสะอาด สุวรรณนพรัตน์*
๕. พระครูประโชติศาสนกิจ ถึง พ.ศ.๒๕๒๕
๖. พระเทพสิริโสภณ พ.ศ.๒๕๒๖ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๐
๗. พระครูพรหมเขตคณารักษ์ พ.ศ.๒๕๖๐
**** ปรับปรุงข้อมูลวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ ****
( * ลำดับก่อนหลังไม่มีหลักฐานยืนยัน )
++++++++++++++++++
Friday, September 10, 2010
อุโบสถของวัดวังตะวันตก
อุโบสถของวัดวังตะวันตก มีความสำคัญตรงที่ความเป็นมา
เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ปี พ.ศ. ๒๕๐๗
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระเจ้าลูกเธอ และพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถไฟมายังวัดวังตะวันตกนครศรีธรรมราฃ เพื่อทรงยกช่อฟ้าของพระอุโบสถหลังนี้

โดยการนี้ทั้งสองพระองค์ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมลงพระปรมาภิไธย

ซึ่งต่อมาได้นำมาประดิษฐานอยู่บนผนังของพระอุโบสถ เป็นที่ปรากฎมาจนถึงปัจจุบันนี้


จากนั้นจึงเสด็จพระราชดำเนินไปเวียนเทียน วันวิสาขบูชาในปีนั้น ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
ยังความปลาบปลิ้มหาที่สุดมิได้แก่พุทธศาสนิกชน และพสกนิกรทั้งจังหวัดนครศรีธรรมราชโดยทั่วไป
นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายประวัติศาสตร์การเสด็จพระราชดำเนินในครั้งนั้น
ปรากฎอยู่ตรงผนังทั้งด้านทิศเหนือ และทิศใต้ภายในพระอุโบสถ

( ที่มา : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้เขต ๒ ขอย้อนรอยพระบาท ดังนี้ ครั้งที่ ๑ วันที่ ๑๓ – ๑๖ มีนาคม ๒๕๐๒ เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรชาวนครศรีธรรมราชเป็นครั้งแรกโดยเสด็จฯ ทางรถยนต์เข้าสู่จังหวัดนครศรีธรรมราชที่อำเภอทุ่งสง เสด็จเยี่ยมราษฎรรวม ๔ อำเภอ คือ อำเภอทุ่งสง อำเภอเมือง อำเภอพรหมคีรี อำเภอร่อนพิบูลย์ ครั้งที่ ๒ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๐๗ เสด็จฯ โดยทางรถไฟ มายังวัดวังตะวันตก เพื่อทรงยกช่อฟ้าอุโบสถ วัดวังตะวันตก เสด็จฯ เวียนเทียนเนื่องในวันวิสาขบูชา ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และเสด็จเยี่ยมสถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านศรีธรรมราช)
**********
เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ปี พ.ศ. ๒๕๐๗
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระเจ้าลูกเธอ และพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถไฟมายังวัดวังตะวันตกนครศรีธรรมราฃ เพื่อทรงยกช่อฟ้าของพระอุโบสถหลังนี้

โดยการนี้ทั้งสองพระองค์ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมลงพระปรมาภิไธย

ซึ่งต่อมาได้นำมาประดิษฐานอยู่บนผนังของพระอุโบสถ เป็นที่ปรากฎมาจนถึงปัจจุบันนี้


จากนั้นจึงเสด็จพระราชดำเนินไปเวียนเทียน วันวิสาขบูชาในปีนั้น ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
ยังความปลาบปลิ้มหาที่สุดมิได้แก่พุทธศาสนิกชน และพสกนิกรทั้งจังหวัดนครศรีธรรมราชโดยทั่วไป
นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายประวัติศาสตร์การเสด็จพระราชดำเนินในครั้งนั้น
ปรากฎอยู่ตรงผนังทั้งด้านทิศเหนือ และทิศใต้ภายในพระอุโบสถ

( ที่มา : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้เขต ๒ ขอย้อนรอยพระบาท ดังนี้ ครั้งที่ ๑ วันที่ ๑๓ – ๑๖ มีนาคม ๒๕๐๒ เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรชาวนครศรีธรรมราชเป็นครั้งแรกโดยเสด็จฯ ทางรถยนต์เข้าสู่จังหวัดนครศรีธรรมราชที่อำเภอทุ่งสง เสด็จเยี่ยมราษฎรรวม ๔ อำเภอ คือ อำเภอทุ่งสง อำเภอเมือง อำเภอพรหมคีรี อำเภอร่อนพิบูลย์ ครั้งที่ ๒ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๐๗ เสด็จฯ โดยทางรถไฟ มายังวัดวังตะวันตก เพื่อทรงยกช่อฟ้าอุโบสถ วัดวังตะวันตก เสด็จฯ เวียนเทียนเนื่องในวันวิสาขบูชา ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และเสด็จเยี่ยมสถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านศรีธรรมราช)
**********
Thursday, August 5, 2010
เอามาขยายยยย ซ้ำซ้ำ
กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกว่า เกสปุตสูตร ก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการคือ
- อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
- อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
- อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
- อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
- อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
- อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
- อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
- อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
- อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
- อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
- เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
- ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
- ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
- เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
>>>ขยายซ้ำข้อ ๑๐ ทรงแนะย้ำว่าแม้แต่คำสอนของ ตถาคตเองก็อย่าเพิ่งเชื่อ<<<<
เป็น อกาลิโก เอหิปัสสิโก
ดูเพิ่มเติมที่นี่ http://www.kammatthana.com/D_46.htm
ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3
Sunday, August 1, 2010
Sunday, June 6, 2010
รวมมิตรงานแต่ง

โรแมนติกริมหาด ดูภาพทั้งหมด




นิกะห์ ดูภาพทั้งหมด

ไทยแท้แท้ ดูภาพทั้งหมด

ยกน้ำแบบจีน ดูภาพทั้งหมด
Tuesday, January 26, 2010
เลื่อนเก้าอี้

ต อนเรียนหนังสือชั้นประถม
ช่วงหนึ่งเคยมีปัญหาเรื่องสายตา(เอียง)
มองกระดานดำไม่ถนัด
เพื่อนคนนั่งแถวหน้า
ก็ช่วยแลกที่นั่ง
ให้ได้มีโอกาสมาจดบทเรียนบนกระดานของคุณครู
พอต่อมาเมื่อได้บริหารกล้ามเนื้อตา
ตามคำแนะนำของหมอจนหาย --ตาเอียง
จึงย้ายกลับไปนั่งที่ประจำอยู่เดิม
แววตาเอื้ออารีย์ของเพื่อนคนที่ให้แลกที่นั่งนั้น
ยังประทับแน่นอยู่ในความทรงจำ
อยู่เสมอ...
เติบ โตมาได้รับการเลื่อนเก้าอี้
ให้มา นั่งข้างหน้า อีกหลายครั้งหลายคราว
ต่างวาระและโอกาสโดยมีจุดประสงค์ร่วมกัน
ให้สิ่งที่กำลังทำร่วมกันนั้น
สามารถเดินไปสู่จุดมุ่งหมายที่วางไว้ได้
ด้วยหลายๆเรื่อง หลายคราว
การได้สลับกันนั่งในบางครั้ง
ไม่นั่งบังกัน ช่วยกันมองช่วยกันเห็น
บางทีคนนั่งหน้ามองไม่เห็นพราะ -- นั่งใกล้เกินไป
มองข้างหน้าแม้เห็นภาพชัดเจนกว่าข้างหลัง
แต่บางมุมสายตาอาจมองไม่ทั่วถึง...
ทำให้ต่างคนต่างได้ประโยชน์ร่วมกัน
"มานั่งตรงนี้ซิ...เล็ก" ประโยคทำนองนี้
ที่มี ใคร พูดบ้าง
----ฝังแน่นในมโนสำนึก
ของคนชอบนั่งแถวหลัง------
อยากให้บรรยากาศ ของการเลื่อนเก้าอี้นั่ง
มีอยู่ทุก ๆห้องเรียน ทุกๆ บ้าน
ทุกที่ประชุม
ทุกองค์กร
ทุกหน่วยงาน
ตลอดไป........

********
Saturday, January 2, 2010
ม่าย...มีขา

ทุ กครั้งที่จะไปไหน มาไหนแต่ละที
เป็นต้องหอบ ต้องหิ้ว ขึ้นรถ..ลงเรือ..แม้แต่ขี่เครื่องบิน
ข้ามน้ำข้ามทะเล ในสภาพทุลักทุเล เป็นที่เวทนาแก่ผู้พบเห็นว่า
มันจะบ้าหอบไปถึงไหนก้าาาาน! !!!!!
แล้วมาเมื่อวาน ...
วันปีใหม่ ๑ มกราคม ๒๕๕๓
วันดีอีกครั้งด้วยเป็นแรมหนึ่งค่ำ จันทร์ยังดวงกลมโต
เค้า (--ต้นคิดคือเจ๊จุรีย์ร้านข้าวปั้นเจ๊อ๋า+พี่ฮะ+พี่มั่น-- )
มาชวนกันพาอาม่าไปชมจันทร์ที่ขนอม
ออกเดินทางห้าโมงเย็น
ถึงโน้น--ที่หมายหาดคอเขา ขนอม--
ก็หกโมงกว่า
แต่แล้ว ภาพความประทับใจ ก้อไม่คมชัดตามต้องการ
ก็เพราะ ม่าย...มีขา
ก็ลืมเอาขาตั้งกล้องไปด้วยนะซิ
มันน่าเสียใจจริง
>>>>>>>ดูเอาเต๊อะ<<<<<<<<<<
*************************************
Subscribe to:
Posts (Atom)